เริ่มหลังจากภาคที่แล้วซึ่ง "บุปผา" ถูก "หมอคง" สะกดวิญญาณและเผาให้ไปเกิดใหม่ ผ่านมา 10 ปี เธอกลับมาเกิดใหม่เป็น "เด็กหญิงปลา" ซึ่งหนังก็ไม่ได้พยายามปกปิดข้อเท็จจริงอย่างที่หลายๆ คนอาจจะคิด (บอกกันตั้งแต่ฉากแรกๆ เลยทีเดียว)
ถึงอย่างนั้นชีวิตเธอก็ไม่ได้ดีมากขึ้น ด้วยว่ามีพ่อเลี้ยงใจร้ายที่เอาแต่ทุบตี มีเพื่อนที่เห็นเธอเป็นตัวประหลาดแล้วเอาแต่กลั่นแกล้ง แล้วเธอก็ประสบเคราะห์กรรมตามสูตรที่จะนำให้หนังมาทางหนังผี และก็กลับมาที่ออสก้าร์อพาร์ตเมนต์อีกครั้ง ทั้งในคราบของ "บุปผา" และ "เด็กหญิงปลา" ซึ่งคราวนี้หนักข้อกว่าเดิมด้วยการลงมือฆ่าคนไม่เลือกหน้า
ที่นี่ "บุปผา" ได้พบกับ "หรั่ง" คนที่ยกให้ "บุปผา" เป็นรักแรกของเขา ที่ออกจะวุ่นวายหนักเข้าไปอีกคือ หรั่งมีความสามารถพิเศษที่มองเห็นวิญญาณได้ จากประสบการณ์เฉียดตายในอดีต
น่าประหลาดที่ใครอาจจะมองว่าผู้กำกับฯห่ามๆ ที่มีความเป็นผู้ชายสูงอย่างยุทธเลิศ มักจะทำหนังที่ถ้าดูดีๆ จะเห็นได้ว่าตัวละครผู้หญิงของเขาค่อนข้างจะเป็นผู้ถูกกระทำอย่างใน " "มือปืน/โลก/พระ/จัน" " และ " "สายล่อฟ้า" " ที่ถูกกระทำให้เป็นวัตถุทางเพศ (หญิงบริการ, เด็กนั่งดริ๊งก์) หรือถูกกระทำโดยผู้ชายอย่างใน " "กระสือวาเลนไทน์", "รักสามเศร้า" " แม้แต่ในหนังที่เกิดจากบทภาพยนตร์ที่เขามีส่วนเกี่ยวข้องอย่าง "" โอเน็คกาทีฟ-รักออกแบบไม่ได้" " ก็เป็นแบบเดียวกัน ที่มีตัวละครหญิงตัวหนึ่งถูกข่มขืน
"แต่ในหนังที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดของเขาอย่าง "บุปผาราตรี" กลับเป็นเรื่องเดียวที่ตัวละครหญิงกลับมาแก้แค้นผู้ชาย แล้วใส่สัญลักษณ์ของความเป็นหญิงพรืดไปหมดทั้งเรื่อง"
อย่างภาคแรกเธอหลอกหลอนคนดูด้วยการกรีดร้องและตกเลือดจากการทำแท้งไม่หยุด จนเลือดนองไปทั่วทั้งอพาร์ตเมนต์ ภาค 2 เธอดูด "หมอคง" เข้าไปสู้ในมดลูกที่ท่วมไปด้วยเลือดสดๆ เป็นการเล่นกับความกลัวดิบๆ ของผู้ชายอย่างอวัยวะเพศหญิงและการมีประจำเดือน
ในภาคที่ 3 ดูเหมือนทั้ง "บุปผา" และยุทธเลิศไม่ยอมประนีประนอมอีกต่อไป จากการตอบโต้ในภาคก่อนๆ ของบุปผาที่เป็นการตอบโต้แบบหญิงๆ คือแม้จะโหด ก็กระมิดกระเมี้ยนไม่จริงจังนัก แต่คราวนี้เป็นความแค้นและความรุนแรงเพียวๆ
"อย่างหนึ่งที่หนังตั้งคำถามไว้ได้น่าสนใจ ก็คือ "บุปผา" จะหลุดพ้นจากวังวนนี้ได้อย่างไร วังวนที่ว่าคือ การถูกกระทำและถูกทำร้ายจากผู้ชาย ซึ่งที่จริงยุทธเลิศไม่ได้หมายถึง "บุปผา" แต่หมายถึงผู้หญิงทุกคนต่างหาก"
ฉากหนึ่งที่ตัวละครตลกหญิงถูกสามีเอาเท้าถีบเพราะไม่พอใจ ก็ออกปากถามว่าทำไมไม่เลิกกันไปเลย ฝ่ายชายก็บอกว่า ก็เพราะ "กูรัก" ตัวตลกหญิงก็เคลิบเคลิ้ม คนดูฮากันกลิ้ง ทั้งที่เรื่องจริงๆ ของผู้หญิงที่โดนสามีทำร้าย แต่เลิกกับสามีไม่ได้ ก็คือแพ้คำว่ารักทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม ยุทธเลิศยังเจียดเวลาเถลไถลไปเหน็บแนมเรื่องอื่นๆ ในสังคมไทย อย่างเรื่องการเมือง เหลือง-แดง, การพูดภาษาอังกฤษได้-ไม่ได้ของคนไทย ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม คนที่จะเข้าไปดูหนังเรื่องนี้คงต้องทำใจสักนิด โดยเฉพาะคอหนังเดนตายทั้งหลาย
ยุทธเลิศเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า การแบ่งหนังเป็น 3.1 กับ 3.2 เป็นหนึ่งในการทดลองของเขาว่าคนไทยชอบดูหนังแบบไหนกันแน่ ดังนั้น ถ้า 3.1 ออกมาแบบมีเนื้อเรื่องน้อยถึงน้อยมากๆ และแทบหาแก่นสารที่ต้องการบอกไม่ได้ ก็เป็นเรื่องพอจะเข้าใจว่าเป็นทดลอง
แต่ถ้า 3.1 ทำรายได้ดี ก็หมายความว่าหนังลักษณะอย่างนี้ ที่มีตลกออกมาบี้มุขและไม่มีเนื้อหาอะไรมากมาย นั่นแหละที่คนไทยชอบดู "บุปผาราตรี 3.2 " ก็คงจะมาแบบเดียวกัน และเป็นไปได้ว่าเรื่องอื่นๆ ก็คงจะตามมาเหมือนๆ กัน
ตัวอย่างหนัง
ที่มาhttps://www.youtube.com/watch?v=zLVczlVo7fg
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น