วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

บุบผาราตรี3

หลังจากประเดิมความเฮี้ยนของการกลับชาติมาเกิดใหม่ของ บุปผา ผีสาวแค้นรักประจำออสการ์อพาร์ตเมนต์ ใน "บุปผาราตรี 3.1" เมื่อช่วงต้นปี ไม่รอช้าผู้กำกับ "ต้อม - ยุทธเลิศ สิปปภาค" ก็ส่งภาคต่อบทสรุปของภาพยนตร์หลากรสที่มีทั้งเรื่องราวของรัก ความสยองขวัญ ผสมตลก "บุปผาราตรี 3.2" มาให้ได้ชมกัน โดยยังคงนักแสดงหลักๆ ไว้เหมือนเดิม อาทิ "พลอย - เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์" และ "โอ้ - มาริโอ้ เมาเร่อ" ซึ่งได้ทำการเปิดตัวไปแล้วเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ที่ผ่านมา ณ โรงภาพยนตร์ เอสเอฟ เวิลด์ ซีเนม่า ซึ่งบรรยากาศภายในงานก็เต็มไปด้วยผู้คนที่ร่วมลุ้นจุดจบของ บุปผาราตรี ภาค 3 ว่าจะลงเอยอย่างไรกันอย่างเนื่องแน่น
เริ่มต้นพูดคุยกับผู้กำกับที่มาตอบคำถามหลายข้อที่คนดูสงสัยหลังจากชม บุปผาราตรี 3.1 โดยเริ่มจากคำถามที่ว่าทำไม บุปผาราตรี ภาค 3 มี บุปผา กลับชาติมาเกิดใหม่ แต่ไม่มี "กฤษณ์ ศรีภูมิเศรษฐ์" กลับชาติมาเกิดด้วย ต้อม เล่าว่า ด้วย "ตอนนั้นคิดไปไม่ถึงกฤษณ์ เพราะว่ากฤษณ์เพิ่งจบไปในทั้งภาค 1 และ 2 แล้วมากฤษณ์อีก เรารู้สึกว่าตัวละครไม่ไปไหน ถ้าไม่มีกฤษณ์ เรารู้สึกว่าความสงสัยของคนก็ยังทำให้คนติดตามต่อไป ทำให้รู้สึกว่ากฤษณ์อาจจะมาในภาค 4 ก็ได้นะ"
ส่วนหมวดและจ่า 2 ตัวละครสัญลักษณ์ของเรื่องก็ไม่ได้หายไปไหน "หลายคนถามว่าทำไม บุปผาราตรี ไม่มีหมวดจ่า ก็บอกว่ามีนะ แต่เผอิญว่าตัดออกมาครึ่งนึง ภาค 3 ยาว จริงๆ เราถ่ายพร้อมกัน หมวดจ่าก็ไม่ไปไหน ด้วยความยาวพอตัดครึ่งนึง หมวดอยู่อีกครึ่งหลังพอดี จะได้เห็นทั้ง 2 คนใน 3.2" ต่อด้วยข้อข้องใจที่ว่า บุปผา และ ปลา แบ่งกันใช้ร่างยังไง ต้อม อธิบายว่า "เขาไม่ได้ใช้ร่าง แต่เขาแบ่งสภาวะจิตใช้กัน พอแบ่งจิตใช้บางทีอยู่ในร่างอีกคนแต่ว่าใช้จิตอีกคน ก็เลยจำคนละแบบ ตอนนี้ 3.2 จะเป็นตัวสรุปที่ชัดเจนที่สุดว่าเขาไม่ได้แบ่งกันใช้ร่างแต่สลับจิตกันใช้เท่านั้นเอง"
ผู้กำกับ ชี้แจงข้อคำถามที่ว่า หรั่ง มีความสามารถมองเห็นผีได้ แต่ทำไมไม่รู้ว่า บุปผา เป็น ผี "เพราะว่าสิ่งที่หรั่งเห็นจะเคลียร์มาก ชัดเจนว่าเป็นผี แล้วบุปผาไม่ได้โชว์ให้เห็นว่าเป็นผี บุปผาออกมาสวยอย่างเดียว ที่เห็นก็เห็นเป็นผีเด็ก"
และสุดท้ายกับคำถามที่ว่าถ้าไม่ได้ดู บุปผาราตรี 3.1 แล้วจะดู บุปผาราตรี 3.2 รู้เรื่องไหม ต้อม ยืนยันว่ารู้เรื่องแน่นอน "รู้เรื่องครับ เพราะว่าตอนที่ตัดล่าสุดเราพยายามตัดเผื่อคนที่ไม่ได้ดู 3.1 เราคิดว่า ณ เวลาที่ 3.1 ฉายมีสถานการณ์บางอย่างเกิดขึ้นเลยทำให้เผอิญไม่มีโอกาสได้ดู ถ้าเกิดใครได้ดูดีวีดีหรือซีดีก็โล่งใจไป ถ้าเกิดว่าขี้เกียจดูแต่อยากจะดู 3.2 เลยก็ดูได้ ดูเสร็จปุ๊บถ้าเขาไม่เข้าใจก็กลับไปเอา 3.1 มาดูได้ ฉะนั้นไม่มีปัญหาในการดู 3.2 แน่นอนครับ"
ในส่วนของ บุปผาราตรี 3.2 นั้น ผู้กำกับบอกว่าเน้นไปเรื่องราวของความรัก "ตัวหนังเลิฟสตอรี่ของบุปผา สิ่งนึงที่ตั้งแต่ภาค 1 ภาค 2 สิ่งที่บุปผาไม่เคยเจอจริงๆ คือคำว่ารักแท้ จนเกิดคำถามว่าเป็นยังไง ครั้งนี้ 3.2 เป็นจุดที่บุปผาได้สัมผัสกับคำนั้น แต่ปัญหาอยู่ที่เขาอยู่กันคนละที่ การอยู่กันคนละที่ความรักมีผลไหมไม่รู้ เราก็ปล่อยให้คนดูไปรู้สึกกับการแสดงของเขาตรงนั้นมากกว่า"
ด้าน พลอย ก็อธิบายถึงตัวละคร บุปผา ในภาค 3 ให้ชัดเจนมากขึ้นว่า "3.1 กับ 3.2 จะโหดมาก คือบุปผาราตรีไม่เคยฆ่าคนมาก่อน แต่ภาคนี้จะฆ่าคน เพราะว่าโดนวิญญาณผีปลาครอบงำ ชาตินี้เราเกิดมาเป็นคนอีกก็โดนผู้ชายทำร้ายอีก จนกลายเป็นว่ามีบุปผา 2 คนในร่างเดียว พอเราโดนกระทำซ้ำแล้วซ้ำอีกก็เกิดอาการอาฆาตแค้นจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น คิดว่าผู้ชายทุกคนเลวเหมือนกันหมด ต้องฆ่าให้หมดก็เลยถูกครอบงำโดยที่ไม่รู้ตัว" ส่วน พลอย ยังบอกถึงความน่าสนใจชวนให้ติดตาม บุปผาราตรี 3.2 ว่า "ก็เป็นเรื่องราวของความรัก ความโรแมนติกของบุปผา ซึ่งหลายคนไม่เคยเห็นมาก่อน"
ต้อม ก็เพิ่มเติมสิ่งที่แตกต่างที่จะได้เห็นในภาคนี้ว่า "เหมือนสิ่งที่เราพูดมาทั้งหมด เราพูดถึงความน่ากลัว น่าเฮี้ยนจนคนไปจำในภาพนั้น จนจริงๆ คิดว่าคนดูบุปผาฯ ลืมไปแล้วว่าหนังบุปผาราตรีคือหนังรัก 3.2 จะเป็นตัวที่บอกทั้งหมดที่พูดมาของบุปผาราตรี คือเรื่องของความรักชัดเจนขึ้นเลย ซึ่งตัวนั้นเราคิดว่าน่าจะเซอร์ไพรส์คนดูพร้อมๆ กับเซอร์ไพรส์นักแสดงที่เป็นผู้ชายที่บุปผารัก"
ส่วนเรื่องราวความรักจะน่าประทับใจแค่ไหน ผู้กำกับ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ชมตัดสินเอง "ถ้าเอาตัวเรา เราคิดว่าพอดีแล้วที่เราพูดที่เราทำมา แต่สำหรับคนดูผมต้องให้คนดูตัดสินเองว่าพอรึยัง เหมาะรึยัง เยอะเกินไปไหมเราไม่รู้ บุปผาราตรีเป็นคาแรกเตอร์หนังที่ยังคงความโรแมนติก ความน่ากลัว ความตลกไว้ ซึ่ง 3.2 ก็ยังคงเป็นแบบนั้นอยู่ เพียงแต่ว่าความรักครั้งนี้ถูกตอบคำถามทุกคำถามตั้งแต่ภาค 1 จนถึงภาคนี้"
โอ้ กล่าวรู้สึกที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในภาพยนตร์ว่า "รู้สึกภูมิใจ ดีใจตั้งแต่เขาติดต่อมาแล้วครับ เพราะเราก็เป็นแฟนหนังเรื่องนี้และก็ชื่นชอบผลงานพี่ต้อมมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว บุปผาราตรีเป็นหนังผีที่อยู่ในใจผมมาตลอด เป็นหนังผีที่มีคาแรกเตอร์เป็นของตัวเอง ผมก็ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะได้มาร่วมงานกับพี่ต้อม"
จากนั้นมาพักด้วยการเล่นเกม โดยให้ โอ้ ทายเสียงว่าเสียงไหนเป็นเสียงกรี๊ดของ บุปผา และต่อด้วยการแสดงมายากลในชุด ดาบแทงทะลุตัว ที่ให้ โอ้ เข้าไปอยู่ในกล่อง แล้ว พลอย ก็ใช้ดาบยาว 10 เล่ม เสียบทะลุช่องตามจุดต่างๆ ของกล่องเข้าไป ซึ่งปรากฏว่า โอ้ ออกจากกล่องมาได้อย่างปลอดภัยโดยไร้ร่องรอยใดๆ แล้วยังมีนักแสดงอีกส่วนตามมาสมทบ ทั้งนักแสดงรุ่นเล็ก "พูกัน - นัดตะวัน ศักดิ์ศิริ" รุ่นใหญ่อย่าง "แดง - ฉันทนา กิติยพันธ์" "อดิเรก วัฏลีลา" และ "บุญถิ่น ทวยแก้ว"
แดง พูดถึงจุดเด่นใน บุปผาราตรี 3.2 ที่ไม่ควรพลาดชมว่า "เข้มข้นมากนะคะ ถ้าคุณไม่มาดูไม่ได้เลยต้องมาดูนะคะ นอกจากมาดูน้องพลอย น้องพูกัน ตัวแสดงที่เก่งๆ ทั้งหมด ต้องมาดูความหลากหลายในเรื่องนี้ค่ะ" ส่วน โอ้ กล่าวเชิญชวนมาดูภาพยนตร์ว่า "โอ้ก็อยากฝาก บุปผาราตรี 3.2 ไว้ด้วยนะครับ ใครที่ไม่ได้ดู 3.1 มาดู 3.2 ได้เลย มันแน่นอนครับ"
ด้าน พลอย ก็ขอฝากภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า "อยากจะฝากด้วยนะคะ บุปผาราตรี 3.2 รับรองว่าเป็นหนังผีเรื่องเดียวที่จะทำให้คุณมีความรู้สึกหลายความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็น กลัว ตลก สนุก ขำ รับรองว่า 3.2 ไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน ขอให้สนุกกับหนังนะคะ แล้วก็อย่าลืมสนับสนุนพวกเราด้วยค่ะ" และ ต้อม ทิ้งท้ายว่า "มันเป็นภาคจบ 3.1 คือยังดูหนังไม่จบ ความน่าสนใจก็คือยังไงก็ต้องมาดูตอนจบ ไม่ได้บีบว่าจะมีอะไรพิเศษ แต่ว่า 3.2 เป็นตัวที่ทำให้ 3.1 สมบูรณ์ ดังนั้นถ้าดู 3.1 แล้วไม่ควรพลาด ฝาก 3.2 ไว้ด้วยนะครับ
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เรื่องย่อบุปผาราตรี3
ตัวอย่างหนัง







ที่มาhttps://www.youtube.com/watch?v=gLOesESLS_g

บุบผาราตรี2

บุบผาราตรี2
เริ่มหลังจากภาคที่แล้วซึ่ง "บุปผา" ถูก "หมอคง" สะกดวิญญาณและเผาให้ไปเกิดใหม่ ผ่านมา 10 ปี เธอกลับมาเกิดใหม่เป็น "เด็กหญิงปลา" ซึ่งหนังก็ไม่ได้พยายามปกปิดข้อเท็จจริงอย่างที่หลายๆ คนอาจจะคิด (บอกกันตั้งแต่ฉากแรกๆ เลยทีเดียว)

ถึงอย่างนั้นชีวิตเธอก็ไม่ได้ดีมากขึ้น ด้วยว่ามีพ่อเลี้ยงใจร้ายที่เอาแต่ทุบตี มีเพื่อนที่เห็นเธอเป็นตัวประหลาดแล้วเอาแต่กลั่นแกล้ง แล้วเธอก็ประสบเคราะห์กรรมตามสูตรที่จะนำให้หนังมาทางหนังผี และก็กลับมาที่ออสก้าร์อพาร์ตเมนต์อีกครั้ง ทั้งในคราบของ "บุปผา" และ "เด็กหญิงปลา" ซึ่งคราวนี้หนักข้อกว่าเดิมด้วยการลงมือฆ่าคนไม่เลือกหน้า 


ที่นี่ "บุปผา" ได้พบกับ "หรั่ง" คนที่ยกให้ "บุปผา" เป็นรักแรกของเขา ที่ออกจะวุ่นวายหนักเข้าไปอีกคือ หรั่งมีความสามารถพิเศษที่มองเห็นวิญญาณได้ จากประสบการณ์เฉียดตายในอดีต

น่าประหลาดที่ใครอาจจะมองว่าผู้กำกับฯห่ามๆ ที่มีความเป็นผู้ชายสูงอย่างยุทธเลิศ มักจะทำหนังที่ถ้าดูดีๆ จะเห็นได้ว่าตัวละครผู้หญิงของเขาค่อนข้างจะเป็นผู้ถูกกระทำอย่างใน " "มือปืน/โลก/พระ/จัน" " และ " "สายล่อฟ้า" " ที่ถูกกระทำให้เป็นวัตถุทางเพศ (หญิงบริการ, เด็กนั่งดริ๊งก์) หรือถูกกระทำโดยผู้ชายอย่างใน " "กระสือวาเลนไทน์", "รักสามเศร้า" " แม้แต่ในหนังที่เกิดจากบทภาพยนตร์ที่เขามีส่วนเกี่ยวข้องอย่าง "" โอเน็คกาทีฟ-รักออกแบบไม่ได้" " ก็เป็นแบบเดียวกัน ที่มีตัวละครหญิงตัวหนึ่งถูกข่มขืน

"แต่ในหนังที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดของเขาอย่าง "บุปผาราตรี" กลับเป็นเรื่องเดียวที่ตัวละครหญิงกลับมาแก้แค้นผู้ชาย แล้วใส่สัญลักษณ์ของความเป็นหญิงพรืดไปหมดทั้งเรื่อง"

อย่างภาคแรกเธอหลอกหลอนคนดูด้วยการกรีดร้องและตกเลือดจากการทำแท้งไม่หยุด จนเลือดนองไปทั่วทั้งอพาร์ตเมนต์ ภาค 2 เธอดูด "หมอคง" เข้าไปสู้ในมดลูกที่ท่วมไปด้วยเลือดสดๆ เป็นการเล่นกับความกลัวดิบๆ ของผู้ชายอย่างอวัยวะเพศหญิงและการมีประจำเดือน

ในภาคที่ 3 ดูเหมือนทั้ง "บุปผา" และยุทธเลิศไม่ยอมประนีประนอมอีกต่อไป จากการตอบโต้ในภาคก่อนๆ ของบุปผาที่เป็นการตอบโต้แบบหญิงๆ คือแม้จะโหด ก็กระมิดกระเมี้ยนไม่จริงจังนัก แต่คราวนี้เป็นความแค้นและความรุนแรงเพียวๆ

"อย่างหนึ่งที่หนังตั้งคำถามไว้ได้น่าสนใจ ก็คือ "บุปผา" จะหลุดพ้นจากวังวนนี้ได้อย่างไร วังวนที่ว่าคือ การถูกกระทำและถูกทำร้ายจากผู้ชาย ซึ่งที่จริงยุทธเลิศไม่ได้หมายถึง "บุปผา" แต่หมายถึงผู้หญิงทุกคนต่างหาก"

ฉากหนึ่งที่ตัวละครตลกหญิงถูกสามีเอาเท้าถีบเพราะไม่พอใจ ก็ออกปากถามว่าทำไมไม่เลิกกันไปเลย ฝ่ายชายก็บอกว่า ก็เพราะ "กูรัก" ตัวตลกหญิงก็เคลิบเคลิ้ม คนดูฮากันกลิ้ง ทั้งที่เรื่องจริงๆ ของผู้หญิงที่โดนสามีทำร้าย แต่เลิกกับสามีไม่ได้ ก็คือแพ้คำว่ารักทั้งนั้น

อย่างไรก็ตาม ยุทธเลิศยังเจียดเวลาเถลไถลไปเหน็บแนมเรื่องอื่นๆ ในสังคมไทย อย่างเรื่องการเมือง เหลือง-แดง, การพูดภาษาอังกฤษได้-ไม่ได้ของคนไทย ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม คนที่จะเข้าไปดูหนังเรื่องนี้คงต้องทำใจสักนิด โดยเฉพาะคอหนังเดนตายทั้งหลาย

ยุทธเลิศเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า การแบ่งหนังเป็น 3.1 กับ 3.2 เป็นหนึ่งในการทดลองของเขาว่าคนไทยชอบดูหนังแบบไหนกันแน่ ดังนั้น ถ้า 3.1 ออกมาแบบมีเนื้อเรื่องน้อยถึงน้อยมากๆ และแทบหาแก่นสารที่ต้องการบอกไม่ได้ ก็เป็นเรื่องพอจะเข้าใจว่าเป็นทดลอง

แต่ถ้า 3.1 ทำรายได้ดี ก็หมายความว่าหนังลักษณะอย่างนี้ ที่มีตลกออกมาบี้มุขและไม่มีเนื้อหาอะไรมากมาย นั่นแหละที่คนไทยชอบดู "บุปผาราตรี 3.2 " ก็คงจะมาแบบเดียวกัน และเป็นไปได้ว่าเรื่องอื่นๆ ก็คงจะตามมาเหมือนๆ กัน

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เรื่องย่อบุปผาราตรี2
ตัวอย่างหนัง











ที่มาhttps://www.youtube.com/watch?v=zLVczlVo7fg

บุบผาราตรี1

บุบผาราตรี1
ไม่มีใครล่วงรู้ประวัติความเป็นมาเบื้องต้นของหญิงสาวที่ชื่อ "บุปผา ราตรี" มาก่อน 



และนี่คือเรื่องราวที่เราได้รู้จักเกี่ยวกับตัวเธอ... 



เธอเป็นนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ พำนักอาศัยอยู่ในห้องเล็กๆ ของอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งกลางกรุง ห้อมล้อมด้วยคนปลิ้นปล้อน หลอกลวง เธอใช้ชีวิตจำเจตามลำพัง ไม่สุงสิงพูดจากับใคร ชีวิตถูกปิดด้วยประตูกลที่ไม่ต้องการมองเห็นโลก 



เธอเหมือนต้องคำสาป 



คืนวันล่วงผ่านพ้นไปเช่นนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นเวลาเนิ่นนาน 



จวบจนวันหนึ่ง เธอตัดสินใจเชื่อมสัมพันธ์กับ เอก(กฤษณ์ ศรีภูมิเศรษฐ์) ลูกเศรษฐี เพื่อนร่วมสถาบันที่เฝ้าติดตามเธอมานานกว่า 1 เดือนเต็ม กระทั่งเผลอไผลลืมตัวมีสัมพันธ์จนตั้ง "ท้อง" 



ก่อนที่จะไปทำ "แท้ง" และตกเลือดตายภายในห้องพัก ในวันที่เอกต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ 



นี่คือโศกนาฏกรรมของหญิงสาวที่ตกอยู่ในสภาพสังคมที่ปลิ้นปล้อน หลอกลวง จะเห็นว่าหนังปูพื้นให้เห็นชะตากรรมที่เลวร้ายของบุปผา(เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์) ตั้งแต่ถูกลุง ล่วงละเมิดทางเพศมาตั้งแต่เด็กๆ กระทั่งโตเป็นสาว ถูกเอกหลอกไปมีสัมพันธ์เพื่อแลกกับเหล้าเพียงขวดเดียว ที่พนันกับกลุ่มเพื่อนชายเอาไว้ หรือความไร้น้ำใจของเจ๊สี่ (ศิริสิน ศิริพรสมาธิกุล) เจ้าของอพาร์ตเมนต์ปากจัดที่ทวงค่าเช่าแบบไร้ความปรานี 



รวมถึงสภาพแวดล้อมของการทรงเจ้าเข้าผี ที่เกิดจากน้ำมือของ "เจ๊สี่" กับพวกที่หลอกชาวบ้านให้หลงเชื่อ และศรัทธา คงเป็นภาพสะท้อนความเป็นไปในสังคมได้อย่างดี 



แก่นของเรื่องใกล้เคียงกับ "นางนาก" ในแง่ผีสาวที่ไม่ยอมจากไปไหน เฝ้ารอคนรักกลับมาสู่อ้อมกอด โดยผูกเรื่องราวของ "ความรัก" และ "ความหลอกลวง" เข้าด้วยกันอย่างลงตัว แม้จินตนาการในเรื่องผีของ "ยุทธเลิศ สิปปภาค" จะแหกกฎความเชื่อเรื่องผีที่ดันโผล่ออกมาตากแดดในตอนกลางวัน หรือเฮี้ยนชนิดที่ไม่มีหมอผีคนใดเอาอยู่ก็ตาม 



ความจริง "ทางหนัง" ไม่ได้ต่างจากหนังผีเรื่องอื่นๆ สักเท่าไหร่ เพราะพล็อตเรื่องไม่มีอะไรซับซ้อน โดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของหนัง "รูปแบบ" การนำเสนอจะวนเวียน และไม่มีอะไรมากไปกว่า การหาหมอผีดีๆ มาปราบ หรือ การโผล่ออกมาของ "ผีสาว" ที่ไล่ตามหลอกหลอนผู้คนในอพาร์ตเมนต์ 



บางครั้งการเลือกที่จะเสนอ "ผีสาว" แบบเห็นตัวตนบ่อยครั้งเกินไป ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน ทำให้ "น้ำหนัก" ความเป็นหนังผีที่น่ากลัวถูกลดทอนลงไป แม้ผู้กำกับฯยุทธเลิศ จะเลือกเล่นกับบรรยากาศของความน่ากลัวด้วยการใช้ภาพที่ดูดิบๆ การใช้เสียงหวีดร้อง หรือเสียงประกอบที่นำมาจากละครวิทยุสมัยก่อนเพื่อกระตุกขวัญผู้ชมอยู่เนืองๆ ก็ตาม 



เพราะความน่ากลัวที่สื่อออกมานั้น เป็นความน่ากลัวจากที่คนดูได้เห็นภาพ "ผีสาว" หากมองในมุมกลับ หากสื่อออกมาให้คนดูเห็นภาพความกลัวของตัวละครในเรื่องที่ต้องเผชิญกับ "ผีสาว" เหมือนกับที่หนังไทยในอดีตเรื่อง "ตะเคียนคะนอง" ที่อัญชลี ชัยศิริ เล่นสมัยก่อน 



แค่ได้ยินเสียงลากโซ่ ก็ทำให้ขนลุกแล้ว.. 



ต้องยอมรับว่าบุปผาราตรี สื่อ "ความน่ากลัว" ตรงเกินไป ตรงเกินจนดูเหมือนยัดเยียดจินตนาการของผู้กำกับฯ ให้ผู้ชม แต่ผมว่าบางครั้งการทำให้คนดูเกิดจินตนาการเอง โดยไม่ยัดเยียด น่าจะทำให้คนดูมีอารมณ์ร่วม(ในความกลัว)ได้มากกว่า 



แต่สิ่งที่หนังเรื่องนี้มี และผมเชื่อว่าผู้กำกับฯยุทธเลิศต้องการจะตั้งคำถามกับสังคมก็คือ การล่วงละเมิดทางเพศกว่าเพศที่อ่อนแอกว่าของคนที่เชื่อว่าน่าไว้ใจที่สุด การทำแท้งที่ทุกคนยังเห็นว่าการเอาเด็กออกคือการแก้ปัญหา และสังคมวัตถุนิยมที่เด็กสมัยนี้ไม่สน "ค่าของตัวเอง" มากกว่า "ค่าของวัตถุ" 



รวมทั้งการเสียดสีความเชื่อในไสยศาสตร์ "ศาสตร์ลี้ลับ" ของคนในสังคมไทย ที่ยังมัวเมาเชื่อในเรื่องรูปแบบพิธีกรรม อำนาจอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ นั่นเป็นเพราะคนไทยกำลังเดินห่างไกลจากพระธรรมคำสั่งสอนซึ่งเป็นแก่นจริงๆ ของพระพุทธศาสนา 



สิ่งเหล่านี้คือความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคม 



และทำให้ "บุปผาราตรี" เป็นหนังผี ที่มีอะไรมากกว่าความน่ากลัว และอารมณ์ขัน.






ตัวอย่างหนัง
















ที่มาhttps://www.youtube.com/watch?v=4KK1NTXzTgk

ไททานิค2


ไททานิค
ทีมนักสำรวจ เรือดำน้ำขนาดเล็กได้ไปสำรวจใต้ทะเลลึกแถวๆที่เรือไททานิคจม

แล้วปรากฎว่าเจอซากก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ใต้ทะเลที่เรือไททานิคจม

ในก้อนน้ำแข็งนั้นเจอร่างชายวัยรุ่นคนหนึง ในก้อนน้ำแข็งนั้น

ด้วยเหตุนี้ ทางทีมนักสำรวจ จึงเก็บก้อนน้ำแข็งนั้นมา หลังจากนั้น นักสำรวจคง

นึกว่า วัยรุ่นคนนั้นอาจจะยังมีชีวิตอยู่ จึงทำการละลายก้อนน้ำแข็งก้อนนั้น

ทำให้หลังจากละลายก้อนน้ำแข็งก้อนนั้นแล้ว ด้วยเหตุอัศจรรย์ วัยรุ่นผู้นั้นกลับ

ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา หลังจากนั้น ทางทีมนักสำรวจ ได้สอบถาม ว่าชายผู้นั้นเป็นใคร

เกิดปีไหน เหตุใดจึงมาอยู่สภาพนี้

ชายผู้นั้นก็เล่าเหตุการณ์  ขณะเรือไททานิคจม สมัยนี้ ปีนี้

ทางทีมนักสำรวจได้ยินเข้าก็ตกใจ ไม่เชื่อวามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้

หลังจากนั้น ก็ได้หาชื่อชายผู้นั้นในกูเกิล ก็ปรากาศชื่อชายผู้นั้น ในรายชื้อของ

ผู้เสียชิวิตในเรือไททานิค ในสมัยนั้น


เนื่องจากมันหลายปีมาแล้ว ไม่มีข้อมูลที่ระบุข้อมูลนายแจ็คได้เลย

หลังจากนั้นนายแจ็คก็ ถามหาที่คนรักคือ โรสนั่นเอง

ทางทีมนักสำราจก็พยายามหา โรสที่แจ็คว่านั้น ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า

หลังจากนั้นปรากฎว่าเจอ เป็นยายแก่วัยใกล้ฝั่ง

ทางโรสวัยใกล้ฝั่งได้ยินเค้าก็ตกใจ มันจะเป็นไปได้ยังไง

แจ๊คตายสมัยเรือไททาทิคจมแล้ว

ทางทีมนักสำรวจก็อธิบายว่า ตอนที่แจ๊คจมไปใต้ท้องทะเลนั้น

ด้วยอากาศที่เย็นจัด บวกกับ ทะเลที่เย็นยะเยือก

ทำให้แจ๊ดเกิดโดนแช่แข็งอย่างกระทันหันทำให้ร่าย กายโดนแช่แข็งโดยที่เซลล์

ร่ายกายยังสมบุรณ์อยู่

โรสได้ยินอยางนั้นก็ ลองไปดูก็ได้ ก่อนไป ได้ไปเคารพ ที่ สุสานที่ฝังแจ๊ค

ปลอมๆเอาไว้

หลังจากทีโรสเดินทางกับคณะนักสำรวจมาพบแจ๊คสมัยยังรุ่นๆ

การพบกันอีกครั้ง ของแจ๊คกับโรส ความรักที่ยิ่งใหญ่บนเรือไททาทิค

เรือที่ได้ชื่อว่าไม่มีวันจม กับการเผชิญ หน้ากันของ คู่รักแต่ในวัยที่ต่างกัน

อีกคน โรสในวัยใกล้ฝั่ง กับแจ๊คผู้ฝื้นคืนชีพจากเรือไททานิค

ติดตามได้ใน ไททานิคสอง โฮะ โฮะ โฮะ

เนื้อเรื่องนี้อาจจะเป็นไปไม่ได้ แต่ว่ามันก็น่าจะสมเหตุสมผลนะ ถ้าจะสร้างภาคสองต่อ
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เรื่องย่อไททานิค ภาค2
ตัวอย่าง













ที่มาhttps://www.youtube.com/watch?v=DK1hygOz8jo

ไททานิค

ไททานิค

เรื่องราวความรักแห่ง Titanic ปรากฏขึ้นบนเรือ R.M.S. Titanic ที่ออกเดินเรืออันเป็นโศกนาฏกรรมครั้งแรก โดยน่าจะเป็นเรือที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ในปี  1912 เรือไททานิค คือ เรือที่มีการเดินเรือครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยสร้างเรือมาบนความภูมิใจและความยินดีของผู้โดยสารเรือไอน้ำ White Star Line ไททานิคได้รับการขนานนามว่าเป็นเรือที่มีความหรูหราและล้ำสมัยที่สุดในยุคนั้น จนในที่สุด "เรือแห่งความฝัน" ได้มีการออกทะเลก่อนยุคแห่งการบิน แต่สุดท้ายเรือได้พาผู้โดยสารมากกว่า 1,500 คนไปพบกับจุดจบในน้ำที่หนาวเย็นทางแอตแลนติกเหนือเมื่อวันที่ 15 เมษายนของ 100 ปีที่แล้ว

           การเดินทางของเรือไททานิคของภาพยนตร์เริ่มต้นขึ้นที่จุดซึ่งเป็นที่ฝังเรือใต้ทะเลที่ความลึก 2 ไมล์ครึ่งใต้มหาสมุทรแอตแลนติก โดยในจุดนี้ นักล่าสมบัติ (บิล แพกซ์ตัน) เดินทางมาเพื่อขุดสมบัติอดีตเรือที่หรูหรา เพียงเพื่อนำเรื่องราวที่ไม่เคยถูกเล่าขานขึ้นมาบนบก ซากปรักหักพังอย่างน่าสลดสะท้อนถึงการรวมความประทับใจของเรือสำหรับช่วงการเตรียมมื้อกลางวันบนเรือที่ออกเดินทางเป็นครั้งแรกจากประเทศอังกฤษ 

           ท่ามกลางผู้มาส่งนับพันที่มาอำลาให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ ชะตาลิขิตได้เรียกขานวิญญาณทั้ง 2 ดวงให้มีการปลูกฝังความปรารถนาที่จะเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล โรส เดวิตต์ บูคาเตอร์ (เคท วินสเล็ต เจ้าของรางวัล Academy Award) สาวอเมริกันชนชั้นสูงวัย 17 ปีผู้มีความอึดอัดภายใต้สังคมที่มีแต่ความคาดหวังอย่างเข้มงวดในสังคมยุคเอ็ดเวิร์ด เธอตกหลุมรักกับผู้โดยสารหนุ่มชนชั้นต่ำสุดของเรือที่มีความร่าเริงอย่างไร้ขีดจำกัด แจ็ค ดอว์สัน (ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ เจ้าของรางวัล Golden Globe และผู้เข้าชิงรางวัล Academy Award) เมื่อเขาได้เปิดโลกทัศน์ที่อยู่ภายนอกกรงทองให้เธอได้เห็น ความรักที่ถูกกีดกั้นระหว่างโรสและแจ็คเป็นจุดกำเนิดแห่งปริศนาที่จะดังกึกก้องไปอีกหลายช่วงยุคสมัย ไม่มีสิ่งใดในโลกมาแทรกผ่านระหว่างพวกเขาไปได้ แม้แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดอย่างการจมของเรือไททานิคก็ตา

ตัวอย่างหนัง
ที่มาhttps://www.youtube.com/watch?v=qNXneGiHEQ4